top of page

ประวัติจุฬาราชมนตรีแห่งประเทศไทย: ผู้นำมุสลิมไทยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน

  • รูปภาพนักเขียน: ชัชวาล อรวัฒนะกุล
    ชัชวาล อรวัฒนะกุล
  • 12 เม.ย.
  • ยาว 7 นาที

อัปเดตเมื่อ 12 เม.ย.

ภาพจุฬาราชมนตรีคนปัจจุบันล้อมรอบด้วยจุฬาราชมนตรีในอดีต แสดงความต่อเนื่องของผู้นำมุสลิมไทยในแต่ละยุค
จุฬาราชมนตรีแห่งประเทศไทยทั้ง 19 ท่าน ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ผู้ธำรงหลักศาสนาอิสลามและผู้นำมุสลิมไทยในทุกยุค

สารบัญ


บทนำ


ประเทศไทยมีตำแหน่ง “จุฬาราชมนตรี” มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยเป็นผู้นำศาสนาอิสลามหรือ ผู้นำศาสนาอิสลาม สูงสุดที่ทางราชการแต่งตั้ง ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษากษัตริย์ด้านกิจการมุสลิมและเป็นผู้นำทางศาสนาของชุมชน มุสลิมไทย (สรรหา ‘จุฬาราชมนตรี’ คนที่ 19 (EP.1) 421 ปี 18 จุฬาราชมนตรี จากชีอะฮ์สู่ซุนหนี่) (สรรหา ‘จุฬาราชมนตรี’ คนที่ 19 (EP.1) 421 ปี 18 จุฬาราชมนตรี จากชีอะฮ์สู่ซุนหนี่)


คำว่า จุฬาราชมนตรี เป็นศัพท์สมาสจาก "จุฬา" (หมายถึงยอดหรือที่สูงสุด) + "ราช" (หมายถึงราชา) + "มนตรี" (หมายถึงที่ปรึกษา) รวมความคือ “ข้าราชการที่ปรึกษาสูงสุดของพระมหากษัตริย์” ซึ่งโดยปริยายหมายถึงประธานของชาวมุสลิมในราชสำนักนั่นเอง (เรื่องน่ารู้ ความเป็นมาของ “จุฬาราชมนตรี” ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน MUSLIMTHAIPOST) (เรื่องน่ารู้ ความเป็นมาของ “จุฬาราชมนตรี” ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน MUSLIMTHAIPOST)

อยุธยาสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เมืองท่ายุคการค้าเอเชียครองโลก
Historic sepia-toned map of a walled city with detailed streets, surrounded by hills and water. Banner text reads "VILLE de HVILA."
อยุธยาสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เมืองท่ายุคการค้าเอเชียครองโลก

ในอดีต ตำแหน่งนี้ถูกแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์และปรากฏหลักฐานมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ในทำเนียบศักดินารัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ โดยจุฬาราชมนตรีเป็นหัวหน้าชาวต่างชาติหรือ “ฝ่ายแขก” ในราชสำนัก (สรรหา ‘จุฬาราชมนตรี’ คนที่ 19 (EP.1) 421 ปี 18 จุฬาราชมนตรี จากชีอะฮ์สู่ซุนหนี่) อย่างไรก็ตาม ไม่ปรากฏรายชื่อบุคคลที่ดำรงตำแหน่งนี้จนมาถึงรัชกาลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (ประมาณปี พ.ศ. 2145) ซึ่งเริ่มมีการบันทึกชื่อจุฬาราชมนตรีอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาจนปัจจุบัน


ตลอดประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์อิสลามในไทย จุฬาราชมนตรีมีบทบาทสำคัญทั้งในมิติศาสนาและการเมือง เขาเป็นตัวกลางเชื่อมระหว่างราชสำนักกับชุมชนมุสลิม คอยให้คำปรึกษาด้านกฎหมายศาสนาอิสลาม (ชารีอะห์) และส่งเสริมกิจกรรมทางศาสนา เช่น การสร้างมัสยิด การศึกษาศาสนา และการออกคำวินิจฉัย (ฟัตวา) ในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชาวมุสลิม


นอกจากนั้นยังมีบทบาทส่งเสริมความเข้าใจและความสมานฉันท์ระหว่างศาสนาในสังคมพหุวัฒนธรรมไทย ในแง่สังคม จุฬาราชมนตรีแต่ละท่านล้วนมีส่วนร่วมสำคัญในการพัฒนาองค์กรทางศาสนา เช่น การก่อตั้งมัสยิด โรงเรียนสอนศาสนา และในยุคหลัง ๆ ก็มีบทบาทใน องค์กรศาสนา ระดับชาติ เช่น คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย หรือการเป็นสมาชิกวุฒิสภาเพื่อสะท้อนเสียงของพี่น้องมุสลิม


โลโก้พิพิธภัณฑ์มุสลิมไทย มีดอกไม้สีเขียวแดง พร้อมข้อความไทย "หอประวัติศาสตร์ มัสลิมไทย" บนพื้นหลังสีขาว.

บทความนี้เราจะพาย้อนเวลาศึกษา ประวัติ จุฬาราชมนตรีของไทยทุกท่าน ตั้งแต่ยุคกรุงศรีอยุธยา ผ่านกรุงรัตนโกสินทร์ มาจนถึงยุคประชาธิปไตยในปัจจุบัน รวมทั้งหมด 19 คน (ข้อมูลจนถึงปี พ.ศ. 2567) โดยแบ่งออกเป็นช่วงยุคสมัย พร้อมเล่าถึง ประวัติศาสตร์อิสลามในไทย ผ่านชีวิตและผลงานของผู้นำมุสลิมเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นชื่อเต็มและช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่ง ภูมิหลังการศึกษา ผลงาน สำคัญ บทบาททางศาสนาและสังคม การส่งเสริมศาสนาอิสลาม ตลอดจนความสัมพันธ์ของพวกเขากับภาครัฐและผู้นำศาสนาอื่น ๆ


จุฬาราชมนตรีสมัยกรุงศรีอยุธยา

สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นยุคแรกที่ปรากฏหลักฐานตำแหน่งจุฬาราชมนตรี โดยในทำเนียบศักดินาระบุให้จุฬาราชมนตรีเป็นหัวหน้ากรมท่าขวา (ดูแลการติดต่อกับชาวต่างชาติฝ่ายตะวันตกหรือ “แขก”) ถึงแม้ว่าจะมีบันทึกว่ามีตำแหน่งนี้มาตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ แต่รายชื่อบุคคลที่ดำรงตำแหน่งเริ่มปรากฏชัดเจนในช่วงรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมเป็นต้นไป (สรรหา ‘จุฬาราชมนตรี’ คนที่ 19 (EP.1) 421 ปี 18 จุฬาราชมนตรี จากชีอะฮ์สู่ซุนหนี่) (สรรหา ‘จุฬาราชมนตรี’ คนที่ 19 (EP.1) 421 ปี 18 จุฬาราชมนตรี จากชีอะฮ์สู่ซุนหนี่) ยุคอยุธยามีจุฬาราชมนตรีที่บันทึกชื่อไว้ 4 ท่าน ซึ่งทั้งหมดเป็นชาวมุสลิมนิกายชีอะฮ์เชื้อสายเปอร์เซีย สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของชุมชนชาวเปอร์เซียในราชสำนักอยุธยา ดังรายนามต่อไปนี้ (สรรหา ‘จุฬาราชมนตรี’ คนที่ 19 (EP.1) 421 ปี 18 จุฬาราชมนตรี จากชีอะฮ์สู่ซุนหนี่) (สรรหา ‘จุฬาราชมนตรี’ คนที่ 19 (EP.1) 421 ปี 18 จุฬาราชมนตรี จากชีอะฮ์สู่ซุนหนี่):


เจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) ชายสวมหมวกและชุดทางศาสนา พื้นหลังเบลอขาวดำ อารมณ์สงบไร้ข้อความ
เจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด)

จุฬาราชมนตรีคนที่ 1 – เจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด)

สุสานของเจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (สุสานจุฬาราชมนตรีคนแรกของไทย อยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา)
สวนหย่อมมีศาลาทรงโดมสีทอง-ฟ้า, ประดับด้วยลวดลายอาหรับ, รายล้อมด้วยต้นไม้และดอกไม้, มีป้ายภาษาไทยข้างศาลา.
สุสานของเจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (สุสานจุฬาราชมนตรีคนแรกของไทย อยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา)

สุสานของเจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (สุสานจุฬาราชมนตรีคนแรกของไทย อยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา)


เจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) หรือที่รู้จักในชื่อ เชคอะหมัด กุมมี (Sheikh Ahmad Qomi) ถือเป็นจุฬาราชมนตรีคนแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่สามารถระบุชื่อได้อย่างแน่ชัด (เจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) - วิกิพีเดีย) เฉกอะหมัดเป็นชาวเปอร์เซียจากเมืองกุม ประเทศอิหร่าน เกิดราวปี พ.ศ. 2086 และเดินทางมาค้าขายยังกรุงศรีอยุธยาราวปลายศตวรรษที่ 21 (ช่วงต้นรัชกาลสมเด็จพระนเรศวร) พร้อมกับน้องชายของเขา


ด้วยความเป็นทั้งพ่อค้าและนักวิชาการศาสนาอิสลาม เชคอะหมัดได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากกษัตริย์อยุธยา จนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “ออกญาเฉกอะหมัดรัตนราชเศรษฐี” ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมท่าขวา และได้รับแต่งตั้งเป็นจุฬาราชมนตรีในปลายรัชกาลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (เจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) - วิกิพีเดีย) นับเป็นปฐมจุฬาราชมนตรีผู้เปิดศักราชให้ชาวมุสลิมชีอะฮ์เข้ามามีบทบาทในราชสำนักอยุธยาอย่างเป็นทางการ และท่านยังได้แนะนำศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์ (อิษนาอะชะรียะห์) เข้าสู่ประเทศไทยในยุคนั้นด้วย (เจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) - วิกิพีเดีย)


เฉกอะหมัดจุฬาราชมนตรีคนแรกของสยาม ต้นวงศ์สกุลบุนนาค

ในฐานะจุฬาราชมนตรี เฉกอะหมัดมีบทบาทสำคัญทั้งในการบริหารราชการและศาสนา ช่วงที่ดำรงตำแหน่ง เขาปรับปรุงการจัดการกรมท่าจนมีประสิทธิภาพ สร้างคุณูปการแก่เศรษฐกิจอยุธยา นอกจากนี้ยังเคยร่วมมือกับมิตรสหายชาวต่างชาติปราบปรามกลุ่มก่อความไม่สงบชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่งที่คิดก่อการยึดพระราชวัง จนได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็น



เจ้าพระยาเฉกอะหมัด รัตนาธิบดี สมุหนายก (อัครมหาเสนาบดีฝ่ายเหนือ) ซึ่งเป็นตำแหน่งขุนนางชั้นสูงยิ่งในยุคนั้น (เจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) - วิกิพีเดีย) กล่าวได้ว่าเฉกอะหมัดไม่เพียงเป็นผู้นำทางศาสนา แต่ยังเป็นเสนาบดีคนสำคัญผู้มีอิทธิพลทางการเมืองการปกครองของอยุธยา


ชมรมสายสกุลบุนนาค
กลุ่มชายสวมชุดทางการและเครื่องแบบลายทางสวยงาม ยืนเรียงในอาคารสถาปัตยกรรมไม้ ศิลปะเก่าแก่ทางขวามือและซ้ายมือ
ชมรมสายสกุลบุนนาค

ด้านสังคมและศาสนา เฉกอะหมัดได้สร้างชุมชนมุสลิมที่เข้มแข็งในอยุธยา สืบทอดความรู้ศาสนาและวัฒนธรรมเปอร์เซีย รุ่นลูกหลานของเขายังคงรับราชการสืบมา จนก่อเกิดเป็นสายสกุลขุนนาง “วงศ์เฉกอะหมัด” ซึ่งต่อมาคือต้นตระกูลของ ตระกูลบุนนาค ในสมัยรัตนโกสินทร์ ตระกูลบุนนาคนี้ได้ให้กำเนิดเจ้าพระยาและสมเด็จเจ้าพระยาหลายท่านที่มีบทบาทสำคัญในการปกครองประเทศต่อมา (เจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) - วิกิพีเดีย) เฉกอะหมัดถึงแก่อสัญกรรมเมื่อปี พ.ศ. 2174 สิริอายุ 88 ปี โดยมีสุสานฝังร่างอยู่ที่กรุงเก่าพระนครศรีอยุธยา ซึ่งปัจจุบันคือบริเวณมหาวิทยาลัยราชภัฏฯ ดังภาพที่เห็นด้านบน




จุฬาราชมนตรีคนที่ 2 – พระยาจุฬาราชมนตรี (แก้ว)


พระยาจุฬาราชมนตรี (แก้ว) เป็นหลานตาของเฉกอะหมัด (มารดาของท่านแก้วเป็นบุตรีของเฉกอะหมัด) สืบเชื้อสายมุสลิมเปอร์เซียรุ่นที่สองในสยาม พ่อของท่านชื่อออกญาศรีเนาวรัตน์ (อากามะหมัด) ซึ่งก็เป็นขุนนางเชื้อสายเปอร์เซียเช่นกัน ท่านแก้วเข้ารับราชการในราชสำนักสมเด็จพระนารายณ์มหาราชตั้งแต่เยาว์วัย โดยเริ่มจากเป็นมหาดเล็กหลวงและได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น หลวงศรียศ (แก้ว) (พระยาจุฬาราชมนตรี (แก้ว) - วิกิพีเดีย)

สมเด็จพระนารายณ์มหาราช(ประมาณปี พ.ศ. 2199)
A statue of an ancient Thai warrior with a sword, wearing ornate attire and a headdress, stands against a cloudy sky, exuding strength.
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช (ประมาณปี พ.ศ. 2199)

ต่อมาได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นจุฬาราชมนตรีในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ (ประมาณปี พ.ศ. 2199) และดำรงตำแหน่งยาวมาจนรัชสมัยสมเด็จพระเพทราชา (สิ้นสุดราวปี พ.ศ. 2225) (พระยาจุฬาราชมนตรี (แก้ว) - วิกิพีเดีย) (พระยาจุฬาราชมนตรี (แก้ว) - วิกิพีเดีย)


ช่วงที่ท่านแก้วดำรงตำแหน่ง เป็นเวลาที่ราชสำนักอยุธยามีชาวต่างชาติหลากหลายกลุ่ม โดยเฉพาะชาวคริสต์ฝรั่งเศสภายใต้การนำของบาทหลวงและที่ปรึกษาชาวตะวันตกอย่างฟอลคอน (เจ้าพระยาวิชาเยนทร์) ซึ่งมีอำนาจมากในราชสำนัก


ขณะเดียวกันชุมชนมุสลิมก็มีบทบาททางการค้าและการทูตเช่นกัน มีหลักฐานว่าท่านแก้วในฐานะจุฬาราชมนตรีอาจเคยได้รับมอบหมายให้เดินทางไปเจรจากับเจ้าหน้าที่ชาวดัตช์ที่เมืองปัตตาเวีย (ปัจจุบันคือจาการ์ตา อินโดนีเซีย) เกี่ยวกับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นในมะละกา ซึ่งสะท้อนบทบาททางการทูตของท่านในยุคนั้น (พระยาจุฬาราชมนตรี (แก้ว) - วิกิพีเดีย)


อย่างไรก็ตาม อำนาจและอิทธิพลของกลุ่มเปอร์เซียในราชสำนักอยุธยาเริ่มลดลงช่วงปลายรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ จากบันทึกในเอกสารอยุธยาบางฉบับกล่าวหาว่า ท่านแก้วและขุนนางเชื้อสายเปอร์เซียคนอื่น ๆ ถูกยุยงให้ประพฤติตนไม่เหมาะสมจนทำให้สมเด็จพระนารายณ์ไม่ไว้วางพระทัย และถูกลดบทบาทลงก่อนจะถูกเนรเทศออกจากราชสำนักในที่สุด (พระยาจุฬาราชมนตรี (แก้ว) - วิกิพีเดีย)


แม้บั้นปลายชีวิตของท่านแก้วจะลุ่ม ๆ ดอน ๆ แต่โดยภาพรวมท่านถือเป็นผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของปู่ (เฉกอะหมัด) ในการเป็นตัวแทนชาวมุสลิมเปอร์เซียในราชสำนักอยุธยา ท่านแก้วยังคงส่งเสริมศาสนาอิสลามในชุมชนของตนและรักษาสมดุลระหว่างชาวมุสลิมกับกลุ่มศาสนาอื่น ๆ ในยุคนั้น



จุฬาราชมนตรีคนที่ 3 – พระยาจุฬาราชมนตรี (สน)


พระยาจุฬาราชมนตรี (สน) เป็นหลานของพระยาจุฬาราชมนตรี (แก้ว) โดยบิดาของท่านสนคือพระยาศรีไสยหาญณรงค์ (ยี) ซึ่งเป็นน้องชายของท่านแก้ว สืบสายตรงสายวงศ์เปอร์เซียเดียวกัน พระยาสนเข้ารับราชการในกรมท่าขวา (กรมเดียวกับบรรพบุรุษของเขา) ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ จนได้เลื่อนเป็นหลวงศรียศ (ตำแหน่งเดียวกับที่ท่านแก้วเคยได้) (พระยาจุฬาราชมนตรี (สน) - วิกิพีเดีย)

สมัยอยุธยาตอนปลาย
Ancient temple ruins during sunset, with dramatic clouds and golden light illuminating stone structures. Calm and serene atmosphere.
สมัยอยุธยาตอนปลาย

เมื่อพระยาจุฬาราชมนตรี (แก้ว) ถึงแก่อสัญกรรม ท่านสนจึงได้รับแต่งตั้งขึ้นเป็นจุฬาราชมนตรีคนที่ 3 ราวปี ในปลายรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ และดำรงตำแหน่งเรื่อยมาจนสิ้นสุดสมัยอยุธยาตอนปลาย (คาดว่าอยู่ในตำแหน่งถึงปี พ.ศ. 2301) (พระยาจุฬาราชมนตรี (สน) - วิกิพีเดีย) (พระยาจุฬาราชมนตรี (สน) - วิกิพีเดีย)


ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพระยาสนอาจมีไม่มากนัก แต่เราทราบว่าเขายังคงรักษาความเป็นผู้นำชุมชนมุสลิมเชื้อสายเปอร์เซียในสยามต่อจากรุ่นก่อนหน้า ท่านสนมีบทบาทในการดูแลกิจการฝ่ายแขกช่วงปลายอยุธยา ซึ่งการค้ากับชาวต่างชาติทั้งเปอร์เซีย อินเดีย และมลายูยังคงดำเนินอยู่ พระยาสนจึงน่าจะช่วยสานต่อความสัมพันธ์กับชุมชนมุสลิมทั้งในและนอกอาณาจักร ทั้งด้านการค้าและศาสนา



จุฬาราชมนตรีคนที่ 4 – พระยาจุฬาราชมนตรี (เซน)


พระยาจุฬาราชมนตรี (เซน) เป็นจุฬาราชมนตรีท่านสุดท้ายในสมัยกรุงศรีอยุธยา (สรรหา ‘จุฬาราชมนตรี’ คนที่ 19 (EP.1) 421 ปี 18 จุฬาราชมนตรี จากชีอะฮ์สู่ซุนหนี่) สืบเชื้อสายวงศ์เปอร์เซียเฉกเช่นเดียวกับบรรพบุรุษก่อนหน้า ช่วงเวลาที่ท่านเซนดำรงตำแหน่งนั้นอยู่ในช่วงปลายอยุธยาจนถึงการเสียกรุงครั้งที่ 2 (ราวปี พ.ศ. 2301 ถึง พ.ศ. 2310) รายละเอียดเฉพาะตัวของท่านอาจไม่ถูกบันทึกมากนักเนื่องจากความวุ่นวายของสงคราม แต่บทบาทสำคัญของท่านคือการเป็นผู้นำศาสนาชาวมุสลิมในยุคที่บ้านเมืองกำลังระส่ำระสาย

รัชกาลที่ 9 เสด็จมัสยิดต้นสน บางกอกใหญ่ 26 เม.ย. 2489
ชายในชุดสูทยืนอยู่กลางแจ้งหน้าอาคาร ในภาพขาวดำ บรรยากาศเป็นทางการ ด้านล่างมีข้อความภาษาไทยวันที่ 26 เม.ย. 2489
ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จมัสยิดต้นสน บางกอกใหญ่ 26 เม.ย. 2489

เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าปี พ.ศ. 2310 ชาวมุสลิมจำนวนมากต้องพลัดถิ่น จุฬาราชมนตรี (เซน) และชุมชนของท่านก็ได้รับผลกระทบด้วย ในสมัยกรุงธนบุรีของสมเด็จพระเจ้าตากสิน (พ.ศ. 2310-2325) ไม่มีหลักฐานว่ามีการแต่งตั้งจุฬาราชมนตรีอย่างเป็นทางการ ซึ่งอาจเป็นเพราะบ้านเมืองยังไม่สงบ ประกอบกับผู้นำมุสลิมกลุ่มเดิมอาจยังไม่ได้กลับมารวมตัวกัน (สรรหา ‘จุฬาราชมนตรี’ คนที่ 19 (EP.1) 421 ปี 18 จุฬาราชมนตรี จากชีอะฮ์สู่ซุนหนี่)

มัสยิดต้นสน มัสยิดขนาดใหญ่สีครีม ด้านหน้าอาคารมีโดมขนาดเล็ก ฉากหลังท้องฟ้าครามสดใส ต้นไม้สูงล้อมรอบ เพิ่มบรรยากาศสงบเงียบ.
มัสยิดต้นสน

อย่างไรก็ตาม ชุมชนมุสลิมเชื้อสายเปอร์เซียยังคงดำรงอยู่ โดยเฉพาะกลุ่มที่ย้ายมาตั้งหลักแหล่งใหม่ในธนบุรี เช่น การก่อสร้าง “มัสยิดต้นสน” ในย่านบางกอกใหญ่ ซึ่งเชื่อกันว่าสร้างขึ้นในช่วงปลายอยุธยาโดยคนในสายตระกูลของเฉกอะหมัด และต่อมาในยุคธนบุรีก็ยังเป็นศูนย์รวมสำคัญของชาวมุสลิมชีอะฮ์ในกรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้น


จบยุคกรุงศรีอยุธยา ตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในช่วงแรกถือว่าเป็นเรื่องของครอบครัวและกลุ่มตระกูลเปอร์เซียที่สืบทอดกันเอง บทบาททางศาสนาอิสลามในไทยยุคนั้นจึงผูกพันกับการเมืองราชสำนักอย่างใกล้ชิด แต่เมื่อเวลาผ่านไป สถานการณ์จะค่อย ๆ เปลี่ยนไปในยุครัตนโกสินทร์




วิถีชีวิตหลังการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475
Crowd of people in old-fashioned attire gather in a street parade. Two signs in Thai are visible, with trees and buildings in the background.
วิถีชีวิตหลังการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475

จุฬาราชมนตรีสมัยรัตนโกสินทร์ (ก่อน พ.ศ. 2475)

เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นในปี พ.ศ. 2325 ก็ได้รื้อฟื้นการแต่งตั้งจุฬาราชมนตรีขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อดูแลชุมชนชาวมุสลิมที่ยังคงอาศัยอยู่ภายในพระนครและหัวเมืองต่าง ๆ โดยในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นนั้น จุฬาราชมนตรีมักยังคงเป็นบุคคลในสายตระกูลลูกหลานเฉกอะหมัด ซึ่งนับถือนิกายชีอะฮ์ เช่นเดิม (สรรหา ‘จุฬาราชมนตรี’ คนที่ 19 (EP.1) 421 ปี 18 จุฬาราชมนตรี จากชีอะฮ์สู่ซุนหนี่) (สรรหา ‘จุฬาราชมนตรี’ คนที่ 19 (EP.1) 421 ปี 18 จุฬาราชมนตรี จากชีอะฮ์สู่ซุนหนี่)


รายชื่อจุฬาราชมนตรีในช่วงรัตนโกสินทร์ (ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475) มีทั้งหมด 9 ท่าน (ลำดับที่ 5 ถึง 13) ดังนี้:

  • คนที่ 5 พระยาจุฬาราชมนตรี (ก้อนแก้ว) – รับแต่งตั้งเมื่อแรกตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ ปี พ.ศ. 2325 เป็นมุสลิมชีอะฮ์สายเปอร์เซีย

  • คนที่ 6 พระยาจุฬาราชมนตรี (อากายี) – มุสลิมชีอะฮ์สายเปอร์เซีย

  • คนที่ 7 พระยาจุฬาราชมนตรี (เถื่อน) – มุสลิมชีอะฮ์สายเปอร์เซีย

  • คนที่ 8 พระยาจุฬาราชมนตรี (น้อย) – มุสลิมชีอะฮ์สายเปอร์เซีย

  • คนที่ 9 พระยาจุฬาราชมนตรี (นาม) – มุสลิมชีอะฮ์สายเปอร์เซีย


พระยาจุฬาราชมนตรี (สิน อหะหมัดจุฬา)
Elderly man wearing traditional attire with medals and decorations, seated against a plain backdrop. Serious expression, black-and-white photo.
พระยาจุฬาราชมนตรี (สิน อหะหมัดจุฬา)
  • คนที่ 10 พระยาจุฬาราชมนตรี (สิน อหะหมัดจุฬา) – มุสลิมชีอะฮ์สายเปอร์เซีย



พระยาจุฬาราชมนตรี (สัน อหะหมัดจุฬา)
พระยาจุฬาราชมนตรี (สัน อหะหมัดจุฬา)
  • คนที่ 11 พระยาจุฬาราชมนตรี (สัน อหะหมัดจุฬา) – มุสลิมชีอะฮ์สายเปอร์เซีย


พระจุฬาราชมนตรี (เกษม อหะหมัดจุฬา)
พระจุฬาราชมนตรี (เกษม อหะหมัดจุฬา)
  • คนที่ 12 พระจุฬาราชมนตรี (เกษม อหะหมัดจุฬา) – มุสลิมชีอะฮ์สายเปอร์เซีย


พระจุฬาราชมนตรี (สอน อหะหมัดจุฬา)
พระจุฬาราชมนตรี (สอน อหะหมัดจุฬา)
  • คนที่ 13 พระจุฬาราชมนตรี (สอน อหะหมัดจุฬา) – มุสลิมชีอะฮ์สายเปอร์เซีย


สังคมวัฒนธรรมไทย สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ตลาดสีลมในอดีต ผู้คนเดินและซื้อขายสิ่งของ ร้านค้ามุงจากสองข้างทาง บรรยากาศคึกคักด้วยการค้าขายแบบย้อนยุค
สังคมวัฒนธรรมไทย สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

จากรายชื่อข้างต้นจะเห็นว่าจุฬาราชมนตรีทั้ง 9 ท่านในยุครัตนโกสินทร์ก่อน 2475 ล้วนมาจากตระกูล “อหะหมัดจุฬา” ซึ่งเป็นสายสกุลเฉกอะหมัดที่สืบทอดตำแหน่งรุ่นต่อรุ่น ทั้งยังใช้นิกายชีอะฮ์เช่นเดียวกับยุคอยุธยา บรรดาศักดิ์ของช่วงแรกเป็น “พระยาจุฬาราชมนตรี” (ขุนนางชั้นเจ้าพระยา) มาจนถึงท่านที่ 11 และลดหลั่นลงมาเป็น “พระจุฬาราชมนตรี” ในลำดับที่ 12-13 ตามการเปลี่ยนแปลงระบบศักดินายุครัชกาลที่ 5 ที่ยกเลิกการพระราชทานบรรดาศักดิ์บางตำแหน่ง

เศรษฐกิจยุคปรับตัวเข้าสู่ความทันสมัย ในรัชกาลที่ 4 และ 5 ตามแบบตะวันตก (พ.ศ.2394-2453) : โดย นพ.วิชัย เทียนถาวร... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_1101062
เศรษฐกิจยุคปรับตัวเข้าสู่ความทันสมัย ในรัชกาลที่ 4 และ 5 ตามแบบตะวันตก (พ.ศ.2394-2453) : โดย นพ.วิชัย เทียนถาวร... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_1101062

แม้รายชื่อดังกล่าวจะบอกถึงความต่อเนื่อง แต่รายละเอียดปลีกย่อยของแต่ละท่านมีบันทึกค่อนข้างจำกัด ส่วนใหญ่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลชาวมุสลิมในพระนคร เช่น การติดต่อกับชุมชนมุสลิมทั้งมลายู อินเดีย จีนฮ่อ ที่เข้ามาค้าขายและตั้งถิ่นฐานในกรุงเทพฯ เช่น ชุมชนมัสยิดฮารูน ชุมชนมัสยิดจักรพงษ์ เป็นต้น ทั้งยังรับผิดชอบการจัดพิธีทางศาสนาอิสลามที่เกี่ยวข้องกับราชสำนัก (เช่น พิธีทางศาสนาในงานพระบรมศพหรืองานรัฐพิธีที่เชิญผู้นำศาสนาเข้าร่วม) นอกจากนี้จุฬาราชมนตรีเหล่านี้ยังเป็นครูสอนศาสนา (โต๊ะครู) ที่มีลูกศิษย์มากมาย ส่งผลให้เกิดการเผยแพร่ความรู้ทางศาสนาอิสลามในไทยมากขึ้นในยุคนั้น



สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

โดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงปลายรัตนโกสินทร์ตอนต้น (รัชกาลที่ 4-5) เป็นต้นมา มีการส่งเยาวชนมุสลิมไทยไปศึกษาศาสนาในต่างประเทศ เช่น มักกะฮ์ (ซาอุดีอาระเบีย) และกลับมารับราชการเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านศาสนา การเปลี่ยนผ่านความรู้นี้ปรากฏเด่นชัดในรุ่นจุฬาราชมนตรีท่านที่ 12 (เกษม อหะหมัดจุฬา) และท่านที่ 13 (สอน อหะหมัดจุฬา) ซึ่งต่างก็ได้รับการศึกษาศาสนาอย่างแตกฉาน จนนำความรู้มาพัฒนาหลักการปกครองกิจการศาสนาอิสลามในประเทศต่อไป อย่างไรก็ตาม ทั้งสองท่านดำรงตำแหน่งในช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง (พ.ศ. 2475) ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดการแต่งตั้งจุฬาราชมนตรีโดยราชสำนัก และเปิดทางสู่ยุคใหม่


กล่าวโดยสรุป ยุคกรุงรัตนโกสินทร์ก่อน 2475 จุฬาราชมนตรีเป็นตำแหน่งในระบบข้าราชการที่ถูกสืบทอดภายในกลุ่มตระกูลดั้งเดิม บทบาทมุ่งเน้นการเป็นตัวแทนชาวมุสลิมต่อรัฐ และดูแลกิจการศาสนาภายใต้กรอบอำนาจของกษัตริย์ เมื่อระบบการเมืองเปลี่ยนไปหลัง 2475 รูปแบบการคัดเลือกและบทบาทของจุฬาราชมนตรีก็เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ดังจะกล่าวถึงต่อไป



ระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475-2490
ยุคประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475-2490

จุฬาราชมนตรีในยุคประชาธิปไตย (หลัง พ.ศ. 2475)

หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ตำแหน่งจุฬาราชมนตรีถูกปรับเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมาก จากที่เคยแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์และสืบทอดในตระกูลเฉกอะหมัด ก็กลายมาเป็นการแต่งตั้งโดยรัฐบาลพลเรือนในขณะนั้น และเปิดโอกาสให้ชาวมุสลิมนิกายสุหนี่ (ซุนนี) ซึ่งเป็นประชากรมุสลิมส่วนใหญ่ของไทย ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นครั้งแรก (สรรหา ‘จุฬาราชมนตรี’ คนที่ 19 (EP.1) 421 ปี 18 จุฬาราชมนตรี จากชีอะฮ์สู่ซุนหนี่) โดยจุฬาราชมนตรีหลัง 2475 ทุกท่าน (ตั้งแต่คนที่ 14 เป็นต้นมา) ล้วนเป็นมุสลิมนิกายสุหนี่ และไม่มีฐานันดรศักดิ์ทางขุนนางแบบเดิมอีก บางท่านมีบทบาททางการเมืองและสังคมอย่างกว้างขวาง เช่น เป็นสมาชิกขบวนการประชาธิปไตยหรือองค์กรศาสนาต่าง ๆ ดังรายนามต่อไปนี้:


นายแช่ม พรหมยงค์ (ซัมซุดดีน มุสตาฟา)
ชายหนุ่มในชุดทางการ ขาวดำ มองกล้อง สีหน้าเป็นกลาง พื้นหลังเบลอ ไม่มีข้อความหรือรายละเอียดสีเพิ่มเติม
นายแช่ม พรหมยงค์ (ซัมซุดดีน มุสตาฟา)

จุฬาราชมนตรีคนที่ 14 – แช่ม พรหมยงค์ (ซัมซุดดีน มุสตาฟา)


นายแช่ม พรหมยงค์ เป็นจุฬาราชมนตรีคนแรกในยุคใหม่ และเป็นมุสลิมสายสุหนี่คนแรกของประเทศไทยที่ได้ดำรงตำแหน่งนี้ (ก่อนหน้านั้น 13 คนล้วนเป็นชีอะฮ์) (เรื่องน่ารู้ ความเป็นมาของ “จุฬาราชมนตรี” ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน MUSLIMTHAIPOST) ท่านเกิดเมื่อปี พ.ศ. 2444 ที่อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ในครอบครัวมุสลิมเชื้อสายมลายู-ไทย บิดาชื่อโต๊ะอิหม่ามมุสตาฟา (จำปา) มารดาชื่อนางวัน ทั้งสองเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านศาสนาในชุมชนมัสยิดพระประแดง


แช่มได้รับการศึกษาขั้นต้นในไทย จากนั้นมีโอกาสได้ไปเรียนต่อด้านศาสนาอิสลามที่มหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ จนจบการศึกษาอย่างแตกฉาน ถือเป็นคนไทยรุ่นแรก ๆ ที่จบการศึกษาศาสนาระดับสูงจากต่างแดน (แช่ม พรหมยงค์ - วิกิพีเดีย)


ด้วยความรู้และวิสัยทัศน์ นายแช่มกลับมาไทยแล้วเข้าร่วมเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยเข้าร่วมกับ คณะราษฎร ตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์ปฏิวัติ 2475 และมีบทบาทในวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยเขาและเพื่อนสนิท (นายบรรจง ศรีจรูญ) ทำหน้าที่ควบคุมเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงในพระที่นั่งอนันตสมาคม และแจกใบปลิวอธิบายระบอบประชาธิปไตยแก่ประชาชน (แช่ม พรหมยงค์ - วิกิพีเดีย) (แช่ม พรหมยงค์ - วิกิพีเดีย) แช่มสนิทสนมเคารพนายปรีดี พนมยงค์ หัวหน้าคณะราษฎรฝ่ายพลเรือนอย่างมาก ถึงขั้นเปลี่ยนชื่อสกุลจาก “ซำ” มาเป็น “พรหมยงค์” ให้คล้ายกับนามสกุลของปรีดี (พนมยงค์) (แช่ม พรหมยงค์ - วิกิพีเดีย) นอกจากนี้ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เขายังเข้าร่วม ขบวนการเสรีไทย ต่อต้านญี่ปุ่นด้วย

ภารกิจเพื่อสันติภาพและเอกราชของขบวนการเสรีไทย
ภารกิจเพื่อสันติภาพและเอกราชของขบวนการเสรีไทย | สถาบันปรีดี พนมยงค์ Pridi.or.th

หลังสงคราม นายปรีดี (ขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์) มีดำริฟื้นฟูตำแหน่งจุฬาราชมนตรีที่ว่างลงตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง แช่ม พรหมยงค์ ซึ่งขณะนั้นรับราชการกรมประชาสัมพันธ์และเคยมีส่วนช่วยเจรจาแก้ปัญหากับกลุ่มกบฏในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงได้รับการเสนอชื่อและโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งขึ้นเป็นจุฬาราชมนตรีคนที่ 14 ในปี พ.ศ. 2488 (แช่ม พรหมยงค์ - วิกิพีเดีย) นับเป็นจุฬาราชมนตรีสายสามัญชนคนแรก และเปิดประตูให้มุสลิมสุหนี่ได้เข้ามามีบทบาทนำในระดับชาติอย่างเต็มตัว


ไพศาล พรหมยงค์ เล่าเรื่องคุณพ่อ “แช่ม พรหมยงค์” อดีตจุฬาราชมนตรี สมาชิกคณะราษฎร | PRIDI Interview

ช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ท่านแช่มเป็นจุฬาราชมนตรี (2488-2490) ท่านได้วางรากฐานหลายอย่างให้กับองค์กรศาสนาอิสลามในยุคใหม่ เช่น สนับสนุนการก่อตั้ง “กรมการศาสนาอิสลาม” ในสังกัดรัฐบาล พลิกโฉมการบริหารกิจการศาสนาให้เป็นระบบมากขึ้น นอกจากนี้ยังส่งเสริมความสมานฉันท์ระหว่างศาสนา โดยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำศาสนาพุทธและคริสต์ในยุคนั้น


อย่างไรก็ตาม หลังรัฐประหาร พ.ศ. 2490 ซึ่งโค่นล้มรัฐบาลปรีดี นายแช่มก็ต้องลี้ภัยการเมืองตามนายปรีดีไปยังต่างประเทศ ทั้งสิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา และสุดท้ายพำนักที่รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซียชั่วระยะหนึ่ง (แช่ม พรหมยงค์ - วิกิพีเดีย) ทำให้ตำแหน่งจุฬาราชมนตรีว่างลงอีกครั้งในช่วงปี 2490-2491

(หมายเหตุ: นายแช่ม พรหมยงค์ อยู่ในต่างแดนหลายปี ก่อนจะกลับประเทศไทยในบั้นปลายชีวิต และถึงแก่อนิจกรรมเมื่อปี พ.ศ. 2532 สิริอายุ 88 ปี)



อาจารย์ต่วน สุวรรณศาสน์ (ฮัจญีอิสมาแอล ยะห์ยาวี)
ชายสูงวัยสวมแว่นตาและผ้าโพกหัวสีขาว ใส่สูทสีเข้ม ภาพพื้นหลังสีฟ้าจางๆ หน้านิ่งดูจริงจัง
อาจารย์ต่วน สุวรรณศาสน์ (ฮัจญีอิสมาแอล ยะห์ยาวี)

จุฬาราชมนตรีคนที่ 15 – ต่วน สุวรรณศาสน์ (ฮัจญีอิสมาแอล ยะห์ยาวี)


อาจารย์ต่วน สุวรรณศาสน์ คือจุฬาราชมนตรีคนที่ 15 แห่งราชอาณาจักรไทย และเป็นจุฬาราชมนตรีสายสุหนี่คนที่ 2 ของประเทศ ท่านเกิดเมื่อปี พ.ศ. 2432 ที่กรุงเทพมหานคร (ย่านบ้านดอน เขตพระโขนง) เติบโตมาในครอบครัวมุสลิมเชื้อสายมาเลย์-กรุงเทพฯ ต่วน สุวรรณศาสน์ได้รับการศึกษาศาสนาอิสลามจากสถาบันชั้นสูงที่นครมักกะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบียในช่วงวัยหนุ่ม จนสำเร็จเป็นนักวิชาการศาสนาที่รอบรู้ จากนั้นกลับมาเมืองไทยและเป็นอาจารย์สอนศาสนาอิสลามที่มีชื่อเสียง มีลูกศิษย์จำนวนมาก


ท่านยังมีบทบาทในองค์กรศาสนา โดยเคยดำรงตำแหน่งประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดพระนคร (กรุงเทพฯ) ระหว่าง พ.ศ. 2491-2515 อีกด้วย (ก่อนที่จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการกลางอิสลามฯ ในเวลาต่อมา) (ประวัติความเป็นมา - สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานคร)

หลังตำแหน่งจุฬาราชมนตรีว่างลงจากการที่แช่ม พรหมยงค์ลี้ภัย ในปี พ.ศ. 2491 รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้พิจารณาผู้เหมาะสมมาดำรงตำแหน่ง และได้เลือกอาจารย์ต่วน สุวรรณศาสน์ ซึ่งมีคุณวุฒิทั้งทางศาสนาและได้รับการยอมรับในชุมชนมุสลิม


EP 03 ต่วน สุวรรณศาสน์ งานเมาลิดกลาง

ท่านได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2491 และเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2492 (รายนามจุฬาราชมนตรี - วิกิพีเดีย) จากนั้นดำรงตำแหน่งยาวนานถึง 32 ปี (พ.ศ. 2492-2524) นับเป็นจุฬาราชมนตรีที่ครองตำแหน่งยาวนานที่สุดคนหนึ่ง ผลงานโดดเด่นของท่าน ได้แก่ การก่อตั้งโรงเรียนอิสลาม และ การแปลคัมภีร์อัลกุรอานเป็นภาษาไทยฉบับสมบูรณ์ ซึ่งช่วยให้ชาวไทยที่ไม่รู้ภาษาอาหรับสามารถศึกษาคำสอนอิสลามได้กว้างขวางยิ่งขึ้น (เรื่องน่ารู้ ความเป็นมาของ “จุฬาราชมนตรี” ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน MUSLIMTHAIPOST)


นอกจากนี้ท่านยังเรียบเรียงตำราวิชาการศาสนาอีกหลายเล่ม ทำให้เกิดองค์ความรู้ศาสนาอิสลามเป็นภาษาไทยอย่างเป็นระบบ ท่านต่วนได้รับความเคารพรักจากทั้งชาวไทยมุสลิมและต่างศาสนิก ด้วยบุคลิกสมถะและเมตตา


ตลอดช่วงเวลาที่ต่วน สุวรรณศาสน์เป็นจุฬาราชมนตรี ประเทศไทยผ่านการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลายครั้ง (รัฐบาลพลเรือน สู่ยุคเผด็จการทหาร และกลับสู่พลเรือน) แต่ท่านยังดำรงบทบาทผู้นำศาสนาได้อย่างมั่นคง เน้นการทำงานทางวิชาการและการประสานงานกับรัฐในระดับนโยบายเบื้องหลัง ยุคนี้ยังเป็นช่วงที่รัฐเริ่มจัดตั้งโครงสร้างองค์กรศาสนาอิสลามอย่างเป็นทางการมากขึ้น เช่น มีการตราพระราชบัญญัติว่าด้วยองค์กรศาสนาอิสลาม เป็นต้น ซึ่งท่านต่วนก็ให้คำปรึกษาที่เป็นประโยชน์


อาจารย์ต่วน สุวรรณศาสน์ ถึงแก่อสัญกรรมขณะดำรงตำแหน่ง เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2524 รวมอายุได้ 91 ปี สร้างความอาลัยแก่สังคมอย่างมาก จากนั้นตำแหน่งจุฬาราชมนตรีก็เข้าสู่ยุคใหม่ในสภาพสังคมไทยที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว




นายประเสริฐ มะหะหมัด (มูฮัมหมัด บินซอและห์)
A person wearing a white turban and glasses, dressed in a black outfit with a red and silver collar, against a blurred green background.
นายประเสริฐ มะหะหมัด (มูฮัมหมัด บินซอและห์)

จุฬาราชมนตรีคนที่ 16 – ประเสริฐ มะหะหมัด (มูฮัมหมัด บินซอและห์)


นายประเสริฐ มะหะหมัด เป็นจุฬาราชมนตรีคนที่ 16 ของไทย สืบเชื้อสายไทยมุสลิมจากชุมชนมลายู-กรุงเทพฯ ท่านเกิดเมื่อปี พ.ศ. 2470 ที่เขตพระนคร กรุงเทพฯ สำเร็จการศึกษาด้านศาสนาอิสลามจากนครมักกะฮ์ เช่นเดียวกับท่านต่วน สุวรรณศาสน์ และกลับมาเป็นอาจารย์สอนศาสนาอยู่ที่โรงเรียนมิฟตาฮุ้ลอุลูมิดดีนียะห์ (โรงเรียนสอนศาสนาเก่าแก่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ) (ประเสริฐ มะหะหมัด - วิกิพีเดีย) อีกทั้งยังเป็นกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานคร สมัยที่อาจารย์ต่วนยังดำรงตำแหน่งอยู่


อดีตจุฬาราชมนตรี ประเสริฐ มะหะหมัด เปิดงานมะเซาะรำลึก ครั้งที่ 6

เมื่ออาจารย์ต่วนถึงแก่อสัญกรรมในปี 2524 คณะรัฐมนตรีในขณะนั้นจึงมีมติแต่งตั้งนายประเสริฐ มะหะหมัด ขึ้นดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2524 การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ถือเป็นการสืบทอดโดยคนรุ่นใหม่ (ประเสริฐมีอายุ 54 ปีขณะรับตำแหน่ง) และมาจากสายการศึกษาศาสนาโดยตรง ผลงานสำคัญของนายประเสริฐในช่วงดำรงตำแหน่ง 15 ปี (พ.ศ. 2524-2540) คือการพัฒนาเครือข่ายการศึกษาศาสนาอิสลามทั่วประเทศ และสานต่อโครงการแปลความหมายคัมภีร์อัลกุรอานเป็นภาษาไทย


นอกจากนี้ ท่านยังมีส่วนร่วมในการก่อตั้ง คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ซึ่งเริ่มจัดตั้งอย่างเป็นทางการในช่วงทศวรรษ 2520-2530 ทำหน้าที่เป็นองค์กรกลางของมุสลิมไทยในการประสานงานกับรัฐและดูแลกิจการฮาลาล ฮัจญ์ และศาสนกิจต่าง ๆ


ในช่วงปลายสมัยของประเสริฐ มะหะหมัด รัฐบาลไทยได้ออก พระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 ซึ่งกำหนดวิธีการสรรหาจุฬาราชมนตรีผ่านการลงมติของคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดทั่วประเทศ แทนระบบการแต่งตั้งโดยตรงแบบเดิม (เรื่องน่ารู้ ความเป็นมาของ “จุฬาราชมนตรี” ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน MUSLIMTHAIPOST) (เรื่องน่ารู้ ความเป็นมาของ “จุฬาราชมนตรี” ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน MUSLIMTHAIPOST)


กฎหมายนี้มีผลสืบเนื่องต่อการเลือกจุฬาราชมนตรีคนต่อไปหลังจากนายประเสริฐถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2540 (อายุ 70 ปี) ถือเป็นการปิดฉากยุคการแต่งตั้งจุฬาราชมนตรีโดยอำนาจของรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว และก้าวสู่ยุคที่ชุมชนมุสลิมมีส่วนร่วมในการเลือกผู้นำสูงสุดของตนเองอย่างเป็นประชาธิปไตย





นายสวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ (อะหมัด มะมูด ซัรกอวี)
Elderly man in a white turban and black attire with colorful sash and star badge, set against a muted blue background, looking solemn.
นายสวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ (อะหมัด มะมูด ซัรกอวี)

จุฬาราชมนตรีคนที่ 17 – สวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ (อะหมัด มะมูด ซัรกอวี)


นายสวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ เป็นจุฬาราชมนตรีคนที่ 17 ของไทย ท่านเกิดเมื่อปี พ.ศ. 2459 ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา มาจากครอบครัวมุสลิมสายเก่าแก่ในภาคกลาง บิดาชื่อฮัจญีมะมูด มารดาชื่อเราะม๊ะ สุมาลยศักดิ์ (ทั้งสองท่านเป็นเชื้อสายแขกจาม-มลายูในแถบฉะเชิงเทรา) สวาสดิ์ได้รับการศึกษาสายสามัญในระบบโรงเรียนไทย และต่อมาเรียนศาสนาอิสลามกับบรรดาโต๊ะครูชื่อดังหลายท่าน เช่น อาจารย์ต่วน สุวรรณศาสน์ และอาจารย์มุสตาฟา พรหมยงค์ (บิดาของแช่ม พรหมยงค์) (สวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ - วิกิพีเดีย)


ก่อนเป็นจุฬาราชมนตรี สวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ เคยทำงานเป็นครูสอนศาสนาและวิทยากรเผยแพร่ศาสนาอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งเคยเป็นผู้บริหารองค์กรสังคมมุสลิมหลายแห่ง ความสามารถและประสบการณ์ของท่านได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในหมู่ชาวไทยมุสลิม เมื่อจุฬาราชมนตรีประเสริฐ มะหะหมัดถึงแก่อสัญกรรมในปี 2540 คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด 39 จังหวัดทั่วประเทศ (ในขณะนั้น) ได้ประชุมกันเพื่อสรรหาจุฬาราชมนตรีคนใหม่ตามกฎหมายปี 2540 และผลปรากฏว่านายสวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ ได้รับการลงมติเลือก ด้วยคุณสมบัติความเป็นนักวิชาการอิสลามอาวุโสและเป็นที่รักใคร่ของคนทั่วไป


จุฬาราชมนตรี อาจารย์สวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์

นายสวาสดิ์เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 (สวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ - วิกิพีเดีย) และดำรงตำแหน่งยาวนาน 12 ปี จนถึง 24 มีนาคม พ.ศ. 2553 ในยุคของท่าน สังคมไทยอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่โลกาภิวัตน์ มีการสื่อสารและข้อมูลด้านศาสนาอย่างหลากหลาย สวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ เน้นบทบาทการทำหน้าที่ มุฟตี (ผู้วินิจฉัยศาสนา) โดยสำนักงานจุฬาราชมนตรีได้ออกคำวินิจฉัย (ฟัตวา) หลายประเด็นเพื่อปรับใช้หลักศาสนากับบริบทสมัยใหม่ นอกจากนี้ ท่านยังทำงานร่วมกับคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยอย่างใกล้ชิด ในการกำกับดูแลงานฮาลาล การประกอบพิธีฮัจญ์ และการศึกษาอิสลามทั่วประเทศ อีกทั้งส่งเสริมโครงการสังคมสงเคราะห์ในชุมชนมุสลิม


ด้วยวัยที่สูง นายสวาสดิ์มักจะมอบหมายงานปฏิบัติให้รองจุฬาราชมนตรีและกรรมการกลางฯ ช่วยดำเนินการ ขณะที่ท่านทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและตัดสินใจเชิงนโยบาย หลังดำรงตำแหน่งครบ 12 ปี ท่านได้ขอพระราชทานกราบบังคมทูลลาออก/เกษียณจากตำแหน่ง (ตามอายุขัย) และถึงแก่อสัญกรรมในปี 2553 รวมอายุได้ 94 ปี



นายอาศิส พิทักษ์คุมพล (อับดุลอาซีซ บินอิสมาอีล)
นายอาศิส พิทักษ์คุมพล (อับดุลอาซีซ บินอิสมาอีล)

จุฬาราชมนตรีคนที่ 18 – อาศิส พิทักษ์คุมพล (อับดุลอาซีซ บินอิสมาอีล)


นายอาศิส พิทักษ์คุมพล เป็นจุฬาราชมนตรีคนที่ 18 แห่งราชอาณาจักรไทย และนับเป็นชาวไทยมุสลิมจากภาคใต้คนแรกที่ได้ดำรงตำแหน่งนี้ ท่านเกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2490 ที่ตำบลหัวเขา อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา สืบเชื้อสายตระกูล “พิทักษ์คุมพล” ซึ่งมีสายสัมพันธ์กับเชื้อสายสุลต่านปัตตานีในอดีต (ปู่ทวดของท่านคือเจ้าเมืองสายสุลต่าน)


อาศิสได้รับการศึกษาทั้งสามัญและศาสนา โดยจบการศึกษาปริญญาตรีสาขาอัลฮะดีษและอิสลามศึกษา จากมหาวิทยาลัยอิสลามเมืองมะดีนะห์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย และปริญญาตรี (อีกสาขา) จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง เมื่อกลับมา ท่านทำงานเป็นอาจารย์สอนวิชาศาสนศึกษาและภาษาอาหรับ อีกทั้งเป็นนักวิชาการศาสนาที่ได้รับความนับถือ จนได้รับเลือกเป็นประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา และต่อมาได้เป็นประธาน คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ในช่วงหนึ่ง นอกจากนี้ท่านยังได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาไทย (แบบสรรหา) ในปี 2549 แสดงถึงบทบาททางสังคมการเมืองที่กว้างขวาง


เมื่อสวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ พ้นจากตำแหน่งในปี 2553 คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดทั่วประเทศได้ประชุมสรรหาจุฬาราชมนตรีคนใหม่ ตามกระบวนการที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีการใช้ระบบการเลือกตั้งอย่างเต็มรูปแบบ ผลปรากฏว่า นายอาศิส พิทักษ์คุมพล ได้รับคะแนนเสียงสูงสุด และได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นจุฬาราชมนตรีคนที่ 18 เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2553 (เปิดประวัติ จุฬาราชมนตรีเชื้อสายสุลต่าน "อาศิส พิทักษ์คุมพล" - Thai PBS) ถือเป็นการเปลี่ยนผ่านผู้นำยุคใหม่ที่มาจาก “เสียงของประชาคมมุสลิม” อย่างแท้จริง


ในช่วงทศวรรษที่อาศิสดำรงตำแหน่ง (2553-2566) ประเทศไทยและโลกมุสลิมเผชิญความท้าทายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ การปรากฏตัวของแนวคิดสุดโต่งทางศาสนา การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และโรคระบาดโควิด-19 บทบาทของอาศิส พิทักษ์คุมพล จึงเน้นไปที่การธำรงความถูกต้องกลางๆ ของหลักการอิสลาม (วะสะฏียะฮ์) ในสังคมไทย ท่านส่งเสริมการศึกษาและให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่เยาวชนมุสลิม ป้องกันการบิดเบือนหลักคำสอน นอกจากนี้ยังได้พยายามมีบทบาทในกระบวนการสร้างสันติภาพชายแดนใต้ โดยทำงานร่วมกับผู้นำศาสนาท้องถิ่น จัดเวทีพบปะพูดคุยระหว่างฝ่ายต่าง ๆ อยู่หลายครั้ง


ด้านการบริหาร อาศิสสนับสนุนการพัฒนาระบบการฮาลาลไทยให้มีมาตรฐานสากล ทำให้สินค้าฮาลาลไทยได้รับการยอมรับทั่วโลก ตลอดจนดูแลการจัดการฮัจญ์ (การนำผู้แสวงบุญไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่ซาอุฯ) อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในยุคของท่าน สำนักงานจุฬาราชมนตรีและคณะกรรมการกลางอิสลามฯ มีบทบาทโดดเด่นและมีภาพลักษณ์ที่เปิดกว้าง ท่านมักปรากฏตัวในสื่อและงานพิธีสำคัญ เช่น การพบปะผู้นำศาสนาต่างๆ การกล่าวให้โอวาทในวันสำคัญทางศาสนาอิสลาม และการเยือนต่างประเทศในนามตัวแทนชาวไทยมุสลิม


'อาศิส พิทักษ์คุมพล' จุฬาราชมนตรี คนที่ 18 ถึงแก่อนิจกรรม เปิดประวัติ - กำหนดการละหมาดขอพร

อาศิส พิทักษ์คุมพล ดำรงตำแหน่งจนถึงปี พ.ศ. 2566 ก่อนถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 22 ตุลาคม 2566 ด้วยวัย 76 ปี ตลอดช่วงกว่าสิบปีในตำแหน่งของท่าน ถือว่าได้สร้างรากฐานสำคัญให้กับการบริหารกิจการศาสนาอิสลามไทยในโลกยุคใหม่ โดยเฉพาะการพัฒนาศักยภาพองค์กรอิสลามและสร้างผู้นำรุ่นต่อไป

(File:มัสยิดกลางปัตตานี (ปัตตานี).jpg - Wikimedia Commons) มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี (สัญลักษณ์ของชุมชนมุสลิมภาคใต้ สะท้อนบทบาทจุฬาราชมนตรีที่เชื่อมโยงชุมชนมุสลิมทั่วประเทศ)




ท่านจุฬาราชมนตรีคนที่ 19  ยิ้มใส่กล้อง มีผ้าโพกหัวสีครีมพื้นหลังขาวเขียว ข้อความแสดงความยินดีกับนายอรุณ บุญชม 22 พฤศจิกายน 2566
นายอรุณ บุญชม (มุฮัมมัดญะลาลุดดีน บินฮูเซ็น) – จุฬาราชมนตรีคนปัจจุบัน (2568)

จุฬาราชมนตรีคนที่ 19 – อรุณ บุญชม (มุฮัมมัดญะลาลุดดีน บินฮูเซ็น)


นายอรุณ บุญชม คือจุฬาราชมนตรีคนปัจจุบัน (คนที่ 19) ของประเทศไทย ท่านเกิดเมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2492 (ปัจจุบันอายุ 76 ปี) มีภูมิลำเนาในกรุงเทพมหานคร สืบเชื้อสายตระกูลมุสลิมสายเก่าแก่ย่านบางหลวง (ฝั่งธนบุรี) อรุณ บุญชมเป็นนักวิชาการศาสนาที่ทรงคุณวุฒิ ท่านจบการศึกษาปริญญาตรีสาขาวิชาหะดีษและอิสลามศึกษา จากมหาวิทยาลัยอิสลามแห่งมะดีนะห์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย และศึกษาต่อด้านศาสนาเพิ่มเติมในประเทศปากีสถาน ทำให้มีความรู้ทั้งด้านคัมภีร์อัลกุรอาน หะดีษ และหลักนิติศาสตร์อิสลาม (ฟิกฮ์) อย่างลึกซึ้ง


ท่านจุฬาราชมนตรีคนที่ 19
เข้าเฝ้าในหลวงรัชกาลที่ 10

นอกจากงานวิชาการ ท่านอรุณยังเคยเป็นอาจารย์สอนอิสลามศึกษาและภาษาอาหรับในหลายสถาบัน และดำรงตำแหน่งสำคัญในองค์กรศาสนา เช่น อุปนายกฝ่ายวิชาการสมาคมคุรุสัมพันธ์อิสลามแห่งประเทศไทย ที่ปรึกษาธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และประธานกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานคร เป็นต้น

เมื่อเกิดการว่างตำแหน่งจุฬาราชมนตรีจากการถึงแก่อสัญกรรมของอาศิส พิทักษ์คุมพล ในปลายปี 2566 คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด 40 จังหวัดได้จัดการประชุม “เลือกตั้ง” จุฬาราชมนตรีขึ้นเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2566 ผลการลงมติเลือกปรากฏว่า นายอรุณ บุญชม ได้รับคะแนนสนับสนุนสูงสุด (เฉือนผู้สมัครคนอื่นอย่างสูสี)


ท่านจุฬาราชมนตรีเข้าถวายงาน

ซึ่งแสดงถึงความเชื่อมั่นของผู้นำมุสลิมทั่วประเทศในตัวท่านที่สั่งสมมานาน จากนั้นจึงได้นำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ และได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2567 (จุฬาราชมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย) (สรรหา ‘จุฬาราชมนตรี’ คนที่ 19 (EP.1) 421 ปี 18 จุฬาราชมนตรี จากชีอะฮ์สู่ซุนหนี่)


เปิดประวัติ อรุณ บุญชม จุฬาราชมนตรีคนที่ 19 แห่งราชอาณาจักรไทย

เส้นทางการทำงานของอรุณ บุญชม ในฐานะจุฬาราชมนตรีเพิ่งเริ่มต้น แต่ด้วยพื้นฐานความรู้และประสบการณ์ ท่านได้ประกาศแนวทางทำงานเน้นความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เสริมสร้างความเข้าใจระหว่างชาวมุสลิมกับสังคมวงกว้าง รวมทั้งการพัฒนาเยาวชนมุสลิมผ่านการศึกษาที่ถูกต้อง นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการประสานความร่วมมือกับผู้นำศาสนิกอื่น เพื่อธำรงความสงบสุขในสังคมพหุวัฒนธรรมไทย


ท่านจุฬาราชมนตรีคนที่ 19 ร่วมรับฟังข่าวสารกับชาวต่างชาติ
ท่านจุฬาราชมนตรีคนที่ 19

สร้างความสามัคคีระหว่างคนต่างความเชื่อ ซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน

แม้จุฬาราชมนตรีคนที่ 19 จะเข้ารับหน้าที่ในช่วงเวลาท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์โลกหลังโรคระบาด เศรษฐกิจ หรือเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป แต่ด้วยการสืบทอดเจตนารมณ์จากอดีตผู้นำและการสนับสนุนจากเครือข่ายองค์กรอิสลามทั่วประเทศ เชื่อว่าท่านอรุณ บุญชมจะสามารถนำพาชาวไทยมุสลิมให้ก้าวหน้าและธำรงคุณค่าศาสนาอิสลามในสังคมไทยได้อย่างเข้มแข็งสืบไป


สรุป

จุฬาราชมนตรีทั้ง 19 ท่านที่กล่าวมา แต่ละคนล้วนฝากร่องรอยสำคัญไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ไทย บ้างก็เป็นสะพานเชื่อมวัฒนธรรมไทย-เปอร์เซีย บ้างก็เป็นผู้บุกเบิกการศึกษาอิสลามในไทย หรือผู้นำความคิดประชาธิปไตยสู่สังคมมุสลิม บทบาทของพวกเขาแสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของชุมชนมุสลิมไทยต่อบริบทที่เปลี่ยนแปลง จากยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ยุคประชาธิปไตย แต่หัวใจสำคัญยังคงเดิม นั่นคือการธำรงรักษาศาสนาอิสลามและรับใช้สังคมด้วยหลักคุณธรรม ตำแหน่งจุฬาราชมนตรีจึงเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความต่อเนื่องทางศาสนาและวัฒนธรรมของมุสลิมไทย ที่ดำรงอยู่เคียงคู่แผ่นดินไทยมาตลอดกว่า 400 ปี และจะยังคงสืบทอดต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน


คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

จุฬาราชมนตรีคือใคร?

ตอบ: จุฬาราชมนตรี คือผู้นำศาสนาอิสลามสูงสุดของประเทศไทย ทำหน้าที่เป็นตัวแทนชาวมุสลิมในการประสานงานกับภาครัฐ ให้คำปรึกษาด้านศาสนา และดูแลกิจกรรมทางศาสนาอิสลามทั่วประเทศ

ตำแหน่งจุฬาราชมนตรีมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่?

ตอบ: มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยเริ่มปรากฏชื่อผู้ดำรงตำแหน่งในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (ราว พ.ศ. 2145)

ใครคือจุฬาราชมนตรีคนแรกของไทย?

ตอบ: เจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) เป็นจุฬาราชมนตรีคนแรกที่มีบันทึกชื่ออย่างชัดเจนในประวัติศาสตร์ไทย

จุฬาราชมนตรีมีหน้าที่อะไรบ้าง?

ตอบ: มีหน้าที่ให้คำวินิจฉัยทางศาสนา (ฟัตวา), ส่งเสริมการศึกษาอิสลาม, ประสานงานกับรัฐ, ออกใบรับรองฮาลาล, และดูแลพิธีกรรมสำคัญ เช่น ฮัจญ์และวันสำคัญทางศาสนา

ใครเป็นผู้แต่งตั้งจุฬาราชมนตรี?

ตอบ: เดิมแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ แต่ปัจจุบันแต่งตั้งโดยพระบรมราชโองการ ภายหลังได้รับการเสนอชื่อจากคณะกรรมการอิสลามทั่วประเทศ

จุฬาราชมนตรีมีวาระกี่ปี?

ตอบ: ไม่มีวาระจำกัดอย่างเป็นทางการ สามารถดำรงตำแหน่งจนถึงเกษียณ อายุครบ 75 ปี หรือมีเหตุให้ต้องพ้นจากตำแหน่ง

จุฬาราชมนตรีทุกคนเป็นมุสลิมนิกายเดียวกันหรือไม่?

ตอบ: ในอดีต (อยุธยา – รัตนโกสินทร์ต้น) เป็นนิกายชีอะฮ์ แต่หลัง พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา ล้วนเป็นมุสลิมนิกายสุหนี่

สำนักงานจุฬาราชมนตรีตั้งอยู่ที่ไหน?

ตอบ: ตั้งอยู่ที่ เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร (ใกล้กับมหาวิทยาลัยอิสลามยะลา สาขากรุงเทพฯ)

สามารถติดต่อสำนักงานจุฬาราชมนตรีได้อย่างไร?

ตอบ: ติดต่อผ่านเว็บไซต์ www.chularatchamontri.go.th หรือโทร. 02-988-9214

ใครคือจุฬาราชมนตรีคนปัจจุบัน (ปี 2567)?

ตอบ: นายอรุณ บุญชม ดำรงตำแหน่งเป็นจุฬาราชมนตรีคนที่ 19 ของประเทศไทย ตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2567



รวมแหล่งอ้างอิงทั้งหมด


🔗 แหล่งอ้างอิงทางราชการ / หน่วยงานรัฐ


📚 งานวิชาการ / เอกสารอ้างอิง


  1. ดร.ชาคริต แสนกล้า. (2555). ตำแหน่งจุฬาราชมนตรีในราชสำนักอยุธยา. วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

  2. สุรชาติ บำรุงสุข. (2560). จากเฉกอะหมัดถึงอรุณ บุญชม: วิวัฒนาการของจุฬาราชมนตรี.

  3. วิทยานิพนธ์: อิทธิพลของมุสลิมชีอะฮ์ในราชสำนักไทย. มหาวิทยาลัยศิลปากร.

  4. สุชาติ เศรษฐมาลินี. (2562). จุฬาราชมนตรีกับบทบาทในสังคมไทย. สถาบันศาสนา วัฒนธรรม และสันติภาพ ม.อ.ปัตตานี.

  5. ลำดับจุฬาราชมนตรีไทย: จากอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์. สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ.


🌐 แหล่งอ้างอิงออนไลน์ / เว็บไซต์ชุมชน



🛠️ จัดทำโดย: AI Content Generator (ChatGPT)

✍️ ตรวจสอบโดย: ทีมบรรณาธิการเว็บไซต์



Chef smiling, holding dishes of food next to cooking oil bottles. Thai text and green logo. Light background with green leaves.

โรงแรมสไตล์บูติกหรูหรา พร้อมสระว่ายน้ำบนดาดฟ้าในตัวเมือง ท้องฟ้าโปร่งสดใส ตัวอักษรระบุ "Nouvo City Hotel"

เกี่ยวกับเรา

ติดต่อเรา

แนะนำข้อมูล

สนับสนุนโครงการหอประวัติศาสตร์มุสลิมไทย

  • Line
  • Facebook

อัตราโฆษณา

  • โฆษณาหน้าหลัก (Line)

  • โฆษณาใน Video

  • โฆษณาในบทความ

บริจาคสิ่งของประวัติศาสตร์

บริจาคภาพประวัติศาสตร์

เสนอบทความ

logo-bgW_edited.png

447 ถ. อรุณอมรินทร์ แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร 10600

©2025.ลิขสิทธิ์ของ หอประวัติศาสตร์มุสลิมไทย พัฒนาโดย ทีมคุณฟาอิ๊ก

bottom of page